วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ทฤษฎีการกำเนิดของระบบสุริยะ

M42 ในกลุ่มดาวนายพราน (Orion) เป็นตัวอย่างหนึ่งของ Solar Nebular ที่กำลังก่อตัวเป็นระบบสุริยะอีกระบบหนึ่งในอนาคตอีกหลายล้านปีข้างหน้า
                                                              http://www.darasart.com/solarsystem/main.htm


ทฤษฎีการกำเนิดของระบบสุริยะ
    หลักฐานที่สำคัญของการกำเนิดของระบบสุริยะก็คือ การเรียงตัว และการเคลื่อนที่อย่างเป็นระบบระเบียบของดาวเคราะห์ ดวงจันทร์บริวาร ของดาวเคราะห์ และดาวเคราะห์น้อย ที่แสดงให้เห็นว่าเทหวัตถุทั้งมวลบนฟ้า นั้นเป็นของระบบสุริยะ ซึ่งจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่เทหวัตถุท้องฟ้า หลายพันดวง จะมีระบบโดยบังเอิญโดยมิได้มีจุดกำเนิด ร่วมกัน 
    Piere Simon Laplace ได้เสนอทฤษฎีจุดกำเนิดของระบบสุริยะไว้เมื่อปี ค.ศ.1796 กล่าวว่า ในระบบสุริยะจะมีมวลของก๊าซรูปร่างเป็นจานแบนๆ ขนาดมหึมาที่เรียกว่า protoplanetary disks หมุนรอบ ตัวเองอยู่ ในขณะที่หมุนรอบตัวเองนั้นจะเกิดการหดตัวลง เพราะแรงดึงดูดของมวลก๊าซ ซึ่งจะทำให้ อัตราการหมุนรอบตัวเองนั้นมีความเร็วสูงขึ้น เพื่อรักษาโมเมนตัมเชิงมุม (Angular Momentum) ในที่สุด เมื่อความเร็ว มีอัตราสูงขึ้น จนกระทั่งแรงหนีศูนย์กลางที่ขอบของกลุ่มก๊าซมีมากกว่าแรงดึงดูด  ก็จะทำให้เกิดมีวงแหวน ของกลุ่มก๊าซแยกตัวออกไปจากศุนย์กลางของกลุ่มก๊าซเดิม และเมื่อเกิดการหดตัวอีกก็จะมีวงแหวนของกลุ่มก๊าซเพิ่มขึ้นๆต่อไปเรื่อยๆ วงแหวนที่แยกตัวไปจากศูนย์กลางของวงแหวนแต่ละวงจะมีความกว้างไม่เท่ากัน ตรงบริเวณที่มีความหนาแน่นมากที่สุดของวง จะคอยดึงวัตถุทั้งหมดในวงแหวน มารวมกันแล้วกลั่นตัว เป็นดาวเคราะห์  ส่วนดวงจันทร์ของดาวเคราะห์ จะเกิดขึ้นจากการหดตัวของดาวเคราะห์ สำหรับดาวหาง และสะเก็ดดาวนั้น เกิดขึ้นจากเศษหลงเหลือระหว่าง การเกิดของดาวเคราะห์ดวงต่างๆ ดังนั้น ดวงอาทิตย์ในปัจจุบันก็คือ มวลก๊าซดั้งเดิมที่ทำให้เกิดระบบสุริยะขึ้นมานั่นเอง     
     

วอยเอเจอร์ 1 ไปถึงขอบระบบสุริยะแล้ว


วอยเอเจอร์ 1 ไปถึงขอบระบบสุริยะแล้ว

ยานวอยเอเจอร์ 1 ของนาซา กำลังจะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่อีกครั้ง ตามรายงานจากคณะนักดาราศาสตร์จากมหาวิทยาลัยจอห์นฮอปกินส์กล่าวว่า ขณะนี้มีหลักฐานบางอย่างที่แสดงว่ายานได้เดินทางไปถึงขอบเขตของลมสุริยะแล้ว นั่นหมายถึงยานกำลังจะเข้าสู่อาณาเขตของอวกาศระหว่างดาวอย่างแท้จริง
สิ่งบอกเหตุว่ายานได้พ้นเขตระบบสุริยะคือความเร็วของลมสุริยะรอบยานได้ลดลงอย่างฉับพลันจากกว่า 1,100,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเหลือเพียงไม่ถึง 160,000 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งอาจหมายถึงการเข้าสู่บริเวณ ๆ หนึ่งเรียกว่า กำแพงกระแทก (termination shock) ซึ่งเป็นกำแพงกั้นเขตสุดอิทธิพลของลมสุริยะ บริเวณนี้เป็นแหล่งกำเนิดลำอนุภาคพลังงานสูง การที่ยานได้ผ่านกำแพงนี้ไปได้ก็หมายความว่านักดาราศาสตร์สามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมภายนอกระบบสุริยะโดยตรงเป็นครั้งแรก

  
            
ภาพภายนอกของระบบสุริยะ เส้นโค้งสีเหลืองคือบาวช็อก กระเปาะสีฟ้าคือฝักสุริยะ (heliosheath) ซึ่งห่อหุ้มระบบสุริยะอยู่ ภาพจาก (NASA/Walt Feimer)
                http://thaiastro.nectec.or.th/news/2003/news2003nov03.html